รายการที่น่าสนใจ

วันพุธที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2555

Fam Trip 5-8 sep 2012 บินลัดฟ้าสู่เมียนมาร์ ตอนที่ 3

Fam Trip Myanmar
วันที่ 7 กันยายน 2555

เมื่อกาลเวลา นำพาให้พวกเราได้มาพบกัน
 แล้วกาลเวลานั้น จะกลืนกินมิตรภาพของพวกเราให้หายไปด้วยหรือไม่
เราทุกท่าน ...ยังให้คำตอบไม่ได้
ว่า......วันข้างหน้าจะเป็นเช่นไร
ขอ....เพียงทำวันนี้ให้ดีที่สุด แล้วยิ้มรับไปพร้อม ๆ กัน
“”””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””
พระธาตุอินทร์แขวน ยามเช้าตรู่

ถึงเวลาเดินทางไกล (พระธาตุอินทร์แขวน สู่ หงสาวดี- วัดไจ๊คะวาย พระนอนชเวตาเลียว-เจดีย์ไจ๊ปุ่น-เข้าเมืองย่างกุ้ง )
น้องเคน   หนุ่มตี๋ในพม่า (555)

พี่จำลอง ช่างภาพ และนักข่าว โพสต์ทูเดย์
กำลังให้สาว ๆ ดูภาพ

เช้าตรู่ น้ำค้างรับอรุณ บนยอดหญ้า พระอินทร์แขวนเป็นสง่า ท้าทายสายตาผู้มาเยือน ให้รับรู้ถึงไอหมอกยามเช้า กำลังเคลื่อนเข้ามา...วิถีชีวิตของผู้คนที่นี่ และทุกหนแห่ง กำลังดำเนินไปตามครรลองแห่งวิถีที่เคยเป็น อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
พระสงฆ์ออกบิณฑบาต เณรน้อยนำหน้า ส่งเสียงร้อง เคาะระฆัง เป็นสัญญาณให้รู้ถึงการเดินทางมาถึงของพระสงฆ์  เป็นวิถีชีวิตที่เรียบง่าย และต้องดำเนินไปทุก  ๆ วัน  เด็ก ๆ เดินขึ้นเขา..ไปโรงเรียน สร้างความแข็งแรงให้กับร่างกายได้เป็นอย่างดี สำหรับผู้เริ่มต้นอย่างพวก ๆ เรา ก็ต้องฝึกกันอีกสักหน่อย แล้วก็ค่อยกลับมาใหม่ เมื่อถึงคราชะตาต้องกัน...
ลงสู่พื้นราบ...
ตอนเดินลง หรือนั่งเสลี่ยงลงมาตอนเช้า
จะพบพระสงฆ์ ออกบิณฑบาตร
ตอนนี้ท่านกลับจากบิณฑบาตร
กำลังเดินขึ้นไปวัด ซึ่งอยู่บนยอดเขาค่ะ
มีเณรน้อย ให้เสียงสัญญาณ เดินนำหน้า
ขบวนนักท่องเที่ยวก็เป็นจุดสนใจ ให้เณรน้อยหัมามองได้ค่ะ

บรรยากาศการนั่งเสลี่ยง ของพี่เล็ก

ตอนลงนี่ ไม่แน่ใจว่าใครออกสตาร์ท ตอนไหน มารู้อีกที อ้าว...เรารั้งท้ายเขาอีกแล้ว...แต่ก็ปิดท้ายด้วยไกด์หนุ่ม คนดี น้องเคนคนน่ารัก อีกตามเคย ที่ไม่มีวันทิ้งพวกเราได้ลงคอ...อิอิอิ...
เจอหน้ากันไม่กี่ท่าน พี่อ้อ น้องเคน พี่น้ำฝน ไกด์ และเด็ก ๆ บอดี้การ์ด และน่ากอดสักที ด้วยความที่น่ารัก ยกมือไหว้ สวัสดีครับ ขอบคุณครับ แม้สุดท้ายจะน่าหมั่นไส้ ก็ตามที (ไม่บอกก็น่าจะเดาออกหมั่นไส้อะไร 555)
มิงกาลาบา เมียนมาร์

น้องแก้ว...ตะลึง พระธาตุอินทร์แขวน
ที่อยู่ในมือ โอ้โห...ถูกและดี
แต่แก้วไม่ได้ซื้อเลยน่ะซิ (งานเข้าอยากได้บ้างจัง)

พี่วู  เชียงแสน ใช้ตังค์เป็น หมื่น ๆ


การที่ได้มาสักการะพระธาตุอินทร์แขวนอันศักดิ์สิทธิ์ ที่ทุกท่านได้มาสัมผัสถึงความมหัศจรรย์ ด้วยตาของตนเอง เชื่อแน่ว่า...อยากจะกลับมาอีกแน่นอนในไม่ช้า...มันเป็นอรรถรสของการเดินทาง ที่เชื่อมคนให้ถึงธรรมได้ง่าย ๆ ได้ทั้งความสนุก ได้ทั้งประสบการณ์ และได้มุมมองใหม่ ๆ ในการมองชีวิตของผู้คนที่เราได้พบเจอระหว่างการเดินทาง
เช้านี้ฝนไม่ตก ก็เบาใจว่า จะได้มองธรรมชาติรอบ ๆ ตัวได้มากยิ่งขึ้น กว่าตอนขามา เพราะฝนตกตลอดทาง  เมื่อลงมาถึงพื้นราบ ก็เช็คสัมภาระจ่ายเงินค่าแบกกระเป๋า กันเรียบร้อย ก็ขึ้นรถบรรทุกกันอีกรอบ ถึงเวลาไปผจญภัยกับการนั่งไม้กระดานแผ่นเดียวอีกแล้วครับท่าน...แต่ตอนขาลง วันนี้สนุกกว่าตอนขามา เพราะไม่มีอุปสรรคในการมองความงามรอบตัว ได้พูดคุย ทักทาย ยิ้มแย้ม สนุกสนานกันอย่างเต็มที่ ถึงเรื่องราวที่ได้พบเจอ ณ พระธาตุอินทร์แขวน   รถจะหักโค้ง หักศอก ก็ปล่อยให้มันแล่นผ่านไป...จุดหมายของพวกเรา รถบัส คันเดิม โชเฟอร์รูปหล่อ ก็เตรียมจอดรออยู่ด้านล่าง ถึงเวลาจะต้องไปใช้ชีวิตด้วยกันอีกหลายชั่วโมง บนถนนหนทาง ที่พวกเราจะมุ่งหน้าไปด้วยกัน...ตลอดการเดินทางในทริปพิเศษนี้....
บรรยกาศนั่งรถทรัค
ตอนขาลง ไม่มีฝนตก
ก็ยลธรรมชาติ สองข้างทางไปเพลิน ๆ ค่ะ

สิ้นสุดการเดินทาง ของการขึ้นพระธาตุอินทร์แขวน ทำให้รู้สึกว่ายังไม่เต็มอิ่มกับการมาสักเท่าไหร่ หากมีเวลาจะต้องกลับมาอีกครั้งอย่างแน่นอน จะได้มีโอกาสสัมผัสอากาศดี ๆ ธรรมชาติงามๆ รอบตัวอีกครั้ง ..........



มุ่งหน้าสู่ กรุงหงสาวดี...
เราใช้เวลาเดินทางอีกประมาณ 2 ชั่วโมง เพื่อไปร่วมทำบุญ ทำกุศลด้วยกัน ณ วัดไจ๊คะวาย มีพระสงฆ์ เณร 420 รูป จะบิณฑบาตพร้อมกัน ในเวลา 11.00 น. เราจะไปทำบุญข้ามชาติ ตักบาตรร่วมหม้อใบใหญ่กันค่ะ
ไกด์หนุ่ม ก็ยังคงทำหน้าที่ให้ข้อมูล ความรู้ มากมาย ที่เราจำแทบไม่หวาดไม่ไหว สุดท้าย คือ จำไม่ได้มากกว่า 555

วัดไจ๊คะวาย...เป็นโรงเรียนสอนพุทธศาสนา ที่มีชื่อเสียงของพม่า ผู้คนนิยมส่งบุตรหลานเข้ามาเรียนที่นี่ เราจึงเห็นว่า มีพระสงฆ์ เณร เป็นจำนวนมากค่ะ
รถบัสมาเทียบชานชาลาหน้าวัด ถอดรองเท้า ไว้บนรถ เตรียมตัวเข้าวัด วันนี้ผู้คนคึกคักมากเป็นพิเศษ เพราะว่ามีทั้งคนท้องถิ่น นักท่องเที่ยว มาเตรียมใส่บาตรพระสงฆ์ เข้าแถวเรียงราย เป็นจำนวนมาก มีหม้อข้าวใบใหญ่ตั้งไว้ มีจานสำหรับใช้ตักข้าวใส่บาตร อาหารที่เตรียมมาใส่บาตรก็พร้อมอยู่แล้วในมือของทุกคน ขนม นม เนย สารพัด ส่วนพวกเรา หรือค่ะ คงไม่มีใครได้เตรียมตัวเลยจริง ๆ ได้ข้าวโพดต้ม คนละถุง สองถุง หิ้วไปมาอยู่ในมือ ก็เพียงพอแล้วสำหรับความสุขใจในครั้งนี้ค่ะ
ชาวเมียนมาร์ เข้าแถว รอใส่บาตร
อนุโมทนาบุญ ร่วมกันนะคะ พี่แพร กับคุณแม่ยังสาว อิอิ

พระสงฆ์เดินมาเป็นแถว






 
เมื่อถึงเวลาพระสงฆ์เคาะระฆังให้สัญญาณ ระฆังที่ว่าเป็นเหมือนไม้ แล้วก็เคาะ มันจะดังไม่เหมือนระฆัง จะดังเหมือนการเคาะไม้มากกว่า แต่ก็ให้เรียกง่าย ๆ ก็เรียกระฆังแล้วกันค่ะ พระสงฆ์ก็เดินมาเป็นแถวยาว พุทธศาสนิกชน ก็เริ่มใส่บาตรกันอย่างขะมักเขม่น ....ฝาบาตรเปิดออก มือน้อย ๆ ของพวกเราก็บรรจงหยิบของใส่ลงในบาตร น้อมจิตระลึก ถึงบุญที่เกิดในครั้งนี้ ด้วยความอิ่มเอิบ ปีติสุขที่เกิดขึ้นในใจค่ะ...
ส่วนด้านใน จัดโต๊ะอาหารไว้เสร็จสรรพ สำหรับพระฉัน เห็นแล้วต้องบอกว่า มีอาหารไม่กี่อย่าง มีน้ำซุปวิญญาณไก่ หรือเป็ดไม่ทราบ 1 ถ้วยกาละมังไม่ใหญ่มาก ถั่วงอกลวก 1 จาน มีไม่กี่อย่างจริง ๆ ผิดกับคนไทย ช่างเกิดมาโชคดีกันเสียจริง ๆ เรียกว่ามีบุญเรื่องอาหารการกินมาก ๆ เพราะเกิดมาไม่เคยอดอยาก ถึงจะอดอยาก ก็ยังกินดีกว่านี้ด้วยซ้ำ ทั้งผัก ผลไม้ นานาชนิด สามารถเก็บกินได้ตลอด
พระฉันอาหารบริเวณด้านในศาลา
หากใครได้มีโอกาส เดินทางมา ณ วัดแห่งนี้ จะมาร่วมทำบุญด้วยปัจจัย หรือ จะเป็น ดินสอ สมุด ปากกา  อื่น ๆ ก็สามารถมาร่วมทำบุญ ได้ที่นี่นะคะ เพราะเป็นความต้องการจริง ๆ เพราะพระ เณร จะได้ใช้ไว้สำหรับเรียนหนังสือค่ะ
............................
เห็นอย่างนี้แล้ว ต้องขอบคุณที่ได้เกิดมาเป็นคนไทยในชาตินี้...ขอบคุณผืนดิน ที่อุดมสมบูรณ์...ข้าวของที่ว่าราคาแพง ลองไปดูในประเทศเพื่อนบ้านของเราแล้ว ขอบอกว่าถูกกว่ากันหลายสิบเท่า แม้แต่เสื้อผ้า ที่เราสวมใส่กันอยู่ทุกวันนี้
ตัวเอง...ได้ไปเห็น และอยากจะซื้อกลับมา ถามราคา โอ้ว....บ้านเราซื้อตัวละ 100-200 บาท แต่นี่ราคาพุ่งไปถึงตัวละ 400 กว่าบาท ขนาดตลาดธรรมดานะคะ
ไม่ได้ขึ้นห้างเลย ก็เลยปล่อยผ่านไป เสื้อผ้าบ้านเราถูกกว่า และก็มีมากมายให้เลือกด้วยค่ะ...
หลังจากได้ร่วมอนุโมทนาบุญร่วมกันแล้วนะคะ ก็เตรียมออกเดินทางกันอีกครั้ง





มุ่งหน้าสู่.....................ร้านอาหารอร่อยค่ะ
(ถึงเวลากินของพวกเราอีกแล้ว...)
วันนี้ได้ทานกุ้งยักษ์กันอีกรอบ กับเมนูพิเศษอีกหลายอย่าง
โต๊ะเรามีพิเศษค่ะ...พี่เอม เล่นพกน้ำพริกมาจากเมืองไทยกันทีเดียว
เหตุผลง่าย ๆ กลัวอด กะ กลัวทานอะไรไม่ได้ น้ำพริก สวรรค์ของคนไทยช่วยได้จริง ๆ
เห็นป๋าอ๊อดจับไม่วางกันเลยทีเดียว พวกเราก็พลอยได้รับอานิสงส์ ของน้ำพริกนั้นไปด้วย ได้รสชาติแซ่บเวอร์ไปอีกวัน.....
แล้วที่สำคัญ...พี่เอม พี่แจน ได้ลองลิ้มชิมรส เบียร์ สีแปลก ๆ เหมือนน้ำโค้กเลยล่ะ ป๋าจรูญของเราก็ขอหน่อย...ไม่ใช้แก้ว แต่ใช้ถ้วยแทน คงนึกว่า ขนมเฉาก๋วยหรืออย่างไร สีก็น่าให้อยู่หรอกค่ะ...

ป๋าจรูญ วรรธนะสิน หน้าม้าของเรา อิอิ
เสร็จจากรับประทานอาหาร คราวนี้สนุกกันอีกแล้ว เด็ก ๆ ที่ตั้งหน้าตั้งตาขาของให้พวกเรา ณ วัดไจ๊คะวาย ที่เราตักบาตรพระสงฆ์ ก็เทขบวนตามมาถึงร้านอาหารที่พวกเราทานกัน ขายสารพัด ขอก็มี พวกเราทำหน้าไม่ถูก เอาไงดี สุดท้ายจ่ายไปคนละ ร้อยสองร้อย ได้พัดมาคนละกำ ...แล้วจะเอาไปทำไรเนี่ย ยังคิดไม่ออกเลย
ต่อกันสุดฤทธิ์ แต่ทว่า...สถานที่ต่อไป ไกด์บอกว่ายังมีให้ซื้ออีกเยอะ ราคาก็ต้องต่อ ๆ กันหน่อยนะ บางทีบางคนคิดว่าได้ถูกแล้ว ไปเจอเพื่อนซื้ออีกที่ถูกกว่าเราอีก จะเสียใจภายหลัง
(ให้จำไว้ว่า มาพม่าอย่าเพิ่งรีบซื้อ เพราะมีที่ให้ซื้ออีกเพียบ เป็นแหล่งใหญ่ทีเดียวล่ะค่ะ)



ออกรถ...มุ่งหน้าไปวัดพระนอน ชเวตาเลียว แห่งกรุงสาวดี
พระนอนชเวตาเลียว ถือได้ว่าเป็นพระนอนที่มีความงดงามที่สุด ในเมืองหงสาวดี สถานที่แห่งนี้นอกจากจะเป็นที่สักการะของชาวพม่า และนักท่องเที่ยวนิยมมากราบไหว้แล้ว ยังเป็นแหล่งช้อปปิ้ง ราคาถูกอีกด้วยค่ะ ทั้งผ้าถุง ผ้าพันคอ แป้งทานาคา พัด ที่พวกเราอุตสาห์ต่อกันสนุกสนาน ก็เป็นรสชาติของชีวิตในการเดินทางมาค่ะ
ลืม...บอกไปค่ะ สถานที่นี้ เก็บเงินค่ากล้องถ่ายรูปด้วยเช่นกันค่ะ
กล้องภาพนิ่ง ตัวละ 300 จ๊าต และกล้อง วิดีโอ 500 จ๊าต นะคะ
ณ วัดแห่งนี้ มีแหล่งช้อปปิ้ง หลายร้าน ร้านสาวสวย ๆ ป๋าอ๊อด ลงทุน เป็นนายกวัก เรียกลูกค้าเหยง ๆ ให้กับแม่ค้าสาว สรุปร้านนี้ พวกเรา หอบผ้าถุงกลับบ้าน กันคนละผืน สอง ผืน บางท่าน ซื้อกันขนแทบไม่ไหว เสียเวลาเลือกซื้อของกันนานพอสมควร ไกด์กวักมือเรียกแล้ว

เกร็ดเล็ก เกร็ดน้อย นำมาฝาก
(เวลาเรียกคนเมียนมาร์ไกด์บอกว่า เขาเรียกกันนั้น..ต้องทำปาก จู๊บๆๆ เขาก็จะมา แล้วก็ทำให้เป็นตัวอย่าง แม่ค้ารีบเดินมาเลย นึกว่าเรียกเขามาจะซื้อของ 555 ) เวลาไปพม่า เรียกเขาก็พยายามอย่ากวักมือนะคะ ใช้ทำปากจู๊บๆๆ เอาค่ะ น่าจะได้ลองสักครั้งนะคะ
 """""""""""""""""""""""""""""""""""""
ชอปเสร็จ หมดตังค์ไปหลายพันจ๊าต แต่ละคนคงรู้สึกดีขึ้น
เตรียมออกเดินทาง ไปวัดพระสี่หน้า หรือเจดีย์ไจ๊ปุ่น ตรงนี้ดิฉันขอบอกว่าไม่ได้เดินขึ้นไปสักแอะ เพราะมัวแต่หามุม ถ่ายรายการอยู่ด้านล่าง กับพี่น้ำฝน ก็ได้ร้านค้าเล็ก ๆ หน้าวัด กับการนั่งชิมรสชาติของชาพม่า อร่อย ๆ แบบฟรี ๆ ค่ะ ได้เห็นถึงน้ำจิต น้ำใจ ของคนหงสาวดีอย่างแท้จริง ให้กินฟรี ไม่คิดตังค์ ต้องขอขอบคุณน้ำจิต น้ำใจ ในครั้งนี้ โอกาสหน้าถ้าได้ไปอีกครั้ง จะแวะไปอุดหนุนชา อีกแน่นอน....เจดีย์ไจ๊ปุ่น ตามประวัติ สร้างโดยสี่ดรุณีพี่น้อง ที่อุทิศตนให้กับพระพุทธศาสนา โดยสร้างพระพุทธรูปแทนตนเอง และสาบานตนจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเพศตรงข้ามตลอดชีวิตค่ะ....เห็นอย่างนี้แล้ว คนที่อกหักช้ำรักบ่อย ๆ จะสาบานตนแบบนี้บ้าง คงจะดีนะคะ จะได้ไม่ร้องเสียใจกันอีก หรือว่า เจ็บก็ยอม อะไรประมาณนั้น อิอิอิ
.............................
ออกจากหงสาวดี มุ่งหน้ากลับ เมืองย่างกุ้ง เราจะเดินทางบนถนน ซุปเปอร์ไฮเวย์ กลับเมืองย่างกุ้ง เพื่อไปสักการะมหาเจดีย์ชเวดากอง ที่ชาวพม่าและคนไทยนับถือค่ะ และชมความงดงามของเมืองย่างกุ้ง เมืองหลวงเก่า ของพม่าค่ะ

บนถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ สองข้างทาง ที่ไม่คุ้นตา บรรยากาศที่สบาย ๆ มองออกไปนอกรถ ก็ได้อรรถรสนั่งรถบัสปรับอากาศ แม้จะนั่งไม่สบายมากนัก บนหนทางที่รถวิ่งไปไกล ๆ หลายชั่วโมง แต่ก็ถือว่าโชคดีกว่าในยุคสมัยเก่า ๆ ทั้งในประเทศไทย และอีกหลายประเทศ ที่รถราต่าง ๆ ได้พัฒนาให้ดีขึ้นไปเรื่อย ๆ จนทำให้เราหลงลืมวิถีชีวิตอันเก่า ๆ ที่เราอดทน ทนความยากลำบากได้สบาย ๆ แต่สมัยนี้เทคโนโลยีเข้ามามากมาย ก็ทำให้เราหลงลืมความอดทนนั้น เมื่อก่อนเก่า แต่กลับติดค่านิยมใหม่ ๆ ที่ต้องสะดวกสบาย พอไม่สะดวกสบายก็เกิดอาการท้อแท้ หมดสิ้นกำลังใจ อดทนต่อความยากลำบากไม่ไหวไปเสียก็มี
เพราะฉะนั้น เราต้องเรียนรู้ให้มาก ๆ ใช้การเดินทางเป็นหนทาง ที่จะชี้แนะ ให้เราได้เรียนรู้ถึงความเป็นไปของชีวิต ที่จะต้องเผชิญ ลำบากแค่ไหน ก็ต้องอดทน และฟันฝ่าไปด้วยกันจนถึงที่สุด แล้วความสุขมันก็จะเกิดขึ้นได้ ในทุกขณะจิต ที่คิดว่าจะลำบาก ก็จะเป็นแรงผลักดันให้เราก้าวพ้น ก้าวผ่านมันไปให้ได้ เพราะทุกสิ่งผ่านมา แล้วมันก็จะผ่านไปค่ะ เอวัง ด้วยประการฉะนี้แล....

เข้าตัวเมืองย่างกุ้ง
ไกด์ Sai han เริ่มกลับมาทำหน้าที่ บรรยายตามเดิม....
จู่ ๆ คนขับก็เบรกเกือบหัวทิ่ม ตกใจกันทีเดียว เบื้องหน้าของพวกเราทุกคน มีขบวนของรถตำรวจซึ่งใช้มอเตอร์ไซค์ 1 คัน ขับมาขวางหน้ารถบัส อย่างกะชั้นชิด มีรถนำผู้ต้องหา ตามมา และมอเตอร์ไซค์ตำรวจอีกหลายคัน ตามขบวนมาด้วย พอกั้นเสร็จ ก็เลี้ยวเข้าไปทางขวามือ คงจะเป็นเรือนจำ หรือไม่ก็สถานีตำรวจค่ะ (ตอนแรกกะว่าต้องมีตำรวจมาเอะอะโวยวายแน่นอน แต่เปล่าเลยค่ะ ก็แยกย้ายกันไป ไม่มีแม้เสียงบีบแตร หรืออะไรทั้งนั้น ) เขารักสงบกันจริง ๆค่ะ
ไกด์บอกว่า ในเมืองย่างกุ้งนี้ จะไม่มีเสียงบีบแตรเลย ซึ่งก็จริง ๆ เพราะเขารักความสงบกันค่ะ) และที่สำคัญ มอเตอร์ไซค์ ก็ไม่มีวิ่ง เพราะว่า จะอนุญาตให้ตำรวจใช้ได้เท่านั้น ถ้าหากใครใช้ในเมืองนี้ ถ้าเจอก็จะถูกยึดและไม่มีการคืน
ไกด์แนะนำทั้งฝั่งซ้าย ฝั่งขวาว่าเป็นอะไรบ้าง จำไม่ได้หรอกค่ะ เพราะแต่ละสถานที่ก็ยัง งงๆ ค่ะ ไม่รู้ที่ไหนเป็นที่ไหน ก็ต่างบ้านต่างเมืองนี่ค่ะ
รู้แต่ว่า...ที่ย่างกุ้ง มีสวนสัตว์ประหลาด 2 หัว ด้วย ตอนแรกไกด์บอก ก็คิดไปเองว่าคงเป็นสวนที่มีรูปปั้นสัตว์ประหลาดเยอะแยะไปหมด แต่จริง ๆ แล้ว เป็นสวนสาธารณะ ที่มีหนุ่มสาว มานั่งจีบกัน ...กล่าวแค่นี้พอละกันค่ะ
“”””””””””””””””””””””””””””””””””””
มหาเจดีย์ชเวดากอง


ยามบ่าย ๆ ก็มาถึง มหาเจดีย์ชเวดากอง สีทองเหลืองอร่าม ของเจดีย์ ที่อยู่เบื้องหน้าของพวกเราทุกท่าน ให้ความรู้สึกถึงความยิ่งใหญ่อลังการ งดงาม ไปด้วยแสงสีทอง และแสงของความศรัทธา ที่นำพาทุกท่านจากทั่วทุกสารทิศให้เดินทางมาบรรจบกัน ณ เจดีย์ของความศรัทธาแห่งนี้....
 ยามพลบค่ำท้องฟ้าเหนือมหาเจดีย์ ค่อยเปลี่ยนสีไปเรื่อย ๆ จุดนี้นี่เอง ที่ทำให้ทุกคนต้องมาชมความงดงามของมหาเจดีย์ ในยามค่ำคืน จะได้เห็นแสง สี อันงดงาม ตัดกับท้องฟ้าในยามที่ท้องฟ้าเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ
สีทองตัดกับท้องฟ้า ช่างสวยงามเหนือคำบรรยาย ที่หาสิ่งใดมาเทียบได้ หากไม่ได้เห็นด้วยตา คงจะคิดว่า บรรยายมากเกินไปหรือเปล่าค่ะ
ผู้คนทยอยเดินทางกันมาตั้งแต่ยังไม่พลบค่ำ จับจองพื้นที่ในการนั่งมอง เฝ้าสังเกตการณ์เปลี่ยนแปลงของท้องฟ้า นั่งสมาธิ ไหว้พระ สวดมนต์ บ้างก็เดินรอบ ๆ มหาเจดีย์ สรงน้ำสัตว์ประจำปีเกิดของตนเอง...ตามความเชื่อ ความศรัทธาที่นิยมทำกันค่ะ จะจริงมากน้อยเพียงไร ก็สุดแล้วแต่ความศรัทธาของแต่ละคน เพราะเชื่อว่าศรัทธาแล้ว ก็คงจะไปขัดขวางสิ่งนั้นยากสักหน่อย หากเป็นไปในทางที่ดี ก็ย่อมดี แต่ถ้าหากเป็นสิ่งที่ไม่ดี ก็ต้องเตือนกันไว้บ้างนะคะ
................................
วันนี้อิ่มเอมใจ กับบรรยากาศของความศรัทธา ของพุทธศาสนิกชน ที่หลั่งไหลมากราบสักการะองค์มหาเจดีย์ ได้เห็นชาวพุทธ วิถีชีวิตของคนพม่า ที่ผูกพันกับพุทธศาสนาไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าคนไทย เชื่อว่าจะมากกว่าด้วยซ้ำไปค่ะ
ดินแดนแห่งพุทธศาสนาแห่งนี้ ยังคงอบอุ่น ด้วยมิตรไมตรี และอบอุ่นไปด้วยแสงธรรม แห่งความศรัทธา ที่ยังคงดำเนินต่อไปตลอดกาลนาน
หวังว่าหากทุกท่านมีโอกาส สักครั้งในชีวิต คงไม่พลาดมาเยือนเมียนมาร์สักครั้งนะคะ แล้วคุณจะประทับใจมิรู้ลืม เหมือนกับคณะของพวกเราทุกคนในวันนี้ค่ะ
.....................................
ในวันสุดท้ายของการเดินทาง ของคณะ Fam Trip ยังอยู่ในเมืองย่างกุ้งนะคะ จะพาไปขอพรจากเทพทันใจ ที่คนไทยนิยมเดินทางมากราบไหว้ และขอพรจากท่านค่ะ

ขอขอบคุณการเดินทางครั้งนี้ ที่ทำให้เหล่าแฟมทริป มาพบกัน และได้พบมิตรภาพดี ๆ ที่เกิดจากรอยยิ้ม ทักทาย ในดินแดนแห่งนี้ค่ะ
ขอบคุณ Myanmar-center.com ติดตามข้อมูลดี ๆ ได้ที่นี่ค่ะ
ขอขอบคุณ สายการบินบางกอกแอร์เวย์ ที่ทำให้เราได้บินลัดฟ้าสู่เมียนมาร์ด้วยกัน

ขอให้ทุกท่านมีรอยยิ้ม อิ่มเอม และมีความสุขกันทุกคน

รุจิรา  (นักหัดเขียน.....ผู้ร้อยเรื่องราว)






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น