รายการที่น่าสนใจ

วันพฤหัสบดีที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2555

Fam Trip 5-8 sep 2012 บินลัดฟ้า สู่เมียนมาร์ (ตอนที่ 2)

บินลัดฟ้า สู่พม่า ไปกับสายการบิน บางกอก แอร์เวย์
Fam trip 5-8 sep 2012 (ตอนที่ 2)
กลับมาพบกันอีกครั้ง กับการเดินทาง
ของครอบครัว Fam Trip
มิตรภาพ เกิดขึ้นได้ ทุกที่ ทุกเวลา
ไม่ได้เลือกชนชั้นวรรณะแต่อย่างใด
 แต่ใช้หัวใจล้วน ๆ ในการนำทางให้มาพบกัน
เกริ่นนำ....
วันแรกของการเดินทาง เราปิดท้ายกันเอาไว้สำหรับ...เข้าถิ่น แดนดิน เมืองตองอู ในยามค่ำคืน ที่แสงจากฟากฟ้า ได้ลับหายไป ทิ้งไว้เพียงความมืดมิด ในยามค่ำคืน กับแสงไฟสลัว ๆ และ...พวกเราจะพบกันอีกครั้งในวันพรุ่งนี้คะ
เมื่อทุกคน เดินทางมาถึงที่พัก พนักงาน ต้อนรับ นำทุกท่านเข้าที่พักเรียบร้อย... ในห้องพักอันเงียบสงบ ยังสถานที่ ซึ่งเป็นพระราชวังเก่าแห่งนี้ ในค่ำคืนนี้ทุกคน คงนอนหลับฝันดี (หรือใครย้อนอดีต...เมื่อนานมาแล้วก็ไม่ว่ากันค่ะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า)
ข่าววงใน...รั่วไหล (เก็บตก)
ในยามค่ำคืน แห่งความเมื่อยล้านี้ หลังจากทุกคน เข้าห้องพัก นอนหลับ พักผ่อนกาย และใจกันหมดแล้ว แต่มิวาย... ก็ยังมี สองสิงห์คะนองศึก กับ อีก 1 บุรุษ ลูกหลานชาวบุเรงนอง ...ได้ย่องออกมาทำการศึก  โดยมิได้บอกกล่าวกับผู้ใด...แต่มิรู้ว่า ศึกรบครั้งนี้ จะจบสิ้นตอนไหน รู้เพียงแต่ว่า ชนกันไป...เฮกันไป  ยกกรึ๊บ ยกกรึ๊บ กันหลายรอบ พอให้ชุ่มชื่นหัวใจ ก่อนจะแยกย้ายกันไปนอนหลับฝันดี ราตรีสวัสดิ์ ZZzzzzzzzz 555+++......(ผู้ใดทำศึก ไม่ต้องบอก ก็คงจะรู้ตัว อิอิอิ ) หรือว่าจะมีผู้มาสมรู้ ร่วมคิดอีกหลายท่าน ก็ไม่ได้แจ้งแถลงไขมาเสียด้วย หากพลาดพิงผู้ใด ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย (รักนะจึงหยอกเล่นค่ะ)


เช้าตรู่ ของ วันที่ 6 กันยายน 2555
ตื่นเช้ารับอรุณ เก็บสัมภาระ มารวมกันไว้ รถบัสมาเตรียมพร้อมแล้ว ในการเดินทางวันนี้ รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม





สองสาวกำลังอร่อยกับอาหารเช้า...

ชมบรรยากาศยามเช้า ด้านหน้าโรงแรม  วิถีชีวิตของชาวตองอู ก็ไม่ต่างอะไรจากวิถีชีวิตของผู้คนโดยทั่วไป จะแตกต่าง ก็ตรงที่ พวกเราต่างบ้านต่างเมืองมา ได้มาเห็นสิ่งต่าง ๆ ที่มันเปลี่ยนแปลงไป โดยที่ไม่ใช่ตัวเราเอง แต่เป็นความเปลี่ยนแปลงจากผู้อื่น ที่ได้รับรู้จากสายตาของทุกคนนั่นเองค่ะ เช้า ๆ เราจะเห็นผู้ปกครอง ออกจากบ้านเดินทางไปทำงาน เด็ก ๆ ถีบจักรยานบ้าง เดินบ้าง ไปโรงเรียน ที่ขาดไม่ได้บนใบหน้าของเด็ก ๆ แม้แต่ผู้ใหญ่ ก็คือ การทาแป้งทานาคา แล้วแต่ว่าใครจะทาออกมาเป็นรูปอะไรบ้าง ดีไซน์กันไปตามใจชอบ เพราะที่เมียนมาร์ เราจะเห็นเกือบทุกคน ทา...แป้งทานาคา ที่ใบหน้า เป็นเอกลักษณ์ และที่สำคัญ ยังเป็นผลผลิต สร้างรายได้อันมหาศาลให้กับคนเมียนมาร์ทีเดียวค่ะ (ทริปนี้ก็กว้านซื้อกันไปมากอยู่ บางคนใช้ บางคนไม่ได้ใช้ ก็ยังอยู่ในกรุ)  ทุกคนก็สนุกสนาน ถ่ายรูป กับเด็ก ๆ ถ่ายรูปถนนหนทาง เพราะกลัวว่าไม่รู้เมื่อไหร่ เราจะได้มีโอกาส มาเยือนสถานที่แห่งนี้อีกครั้ง


-นั่งรถชมรอบ ๆ โรงแรม เราได้เห็นถึงความงดงามของโรงแรม ที่มีหลายอาคาร ทาสีอิฐแดงทั้งหลัง มีบึงน้ำอยู่ใจกลาง มองออกไปแลเห็นเจดีย์ สีเหลืองทองอร่ามอยู่เบื้องหน้า ท้องน้ำระยิบ ระยับ ด้วยแสงทอง ตกสะท้อน ให้เห็นจริงจากสายตา รถวนพาไปชมรูปปั้นของพระเจ้าบุเรงนอง ที่ปั้นออกมาได้ยิ่งใหญ่ ดูกล้าหาญ บึกบึน สมกับเป็นนักรบโบราณอันเกรียงไกร ที่จารึกชื่อไว้ในประวัติศาสตร์อันยาวนานคะ




เตรียมออกจากเมืองตองอู...ซึ่งเราจะมิมีวันลืมเลือน...
รถพร้อม ทุกคนพร้อม ก็นั่งประจำที่ โดยได้จดจำที่นั่งกันเอาไว้แล้ว ใครนั่งผิดก็คงมีเฮกันล่ะคราวนี้....
รถเคลื่อนขบวนออกไปจากประตูเมืองตองอู จอดรถถ่ายรูป ด้านหน้าอนุสาวรีย์พระเจ้าบุเรงนองกันสักหน่อย แล้วก็เดินทางต่อไป...   
จุดหมายปลายทาง กรุงหงสาวดี...และเราจะไปพักค้างคืน กันบนยอดเขาสูง นมัสการพระธาตุอินทร์แขวนอันศักดิ์สิทธิ์ ที่หลาย ๆ ท่าน สักครั้งหนึ่งในชีวิต ขอให้ได้มาสักการะ....พวกเราจะไปผจญภัยกันที่นั่นด้วยกันค่ะ

พิกุลร่วงออกจากปาก...
มาถึงนาทีนี้ ทุกคนบนรถบัสก็เริ่มรู้จักกันบ้างแล้ว จากที่เคยนิ่ง ๆ เหมือนผ้าพับไว้ กลัวพิกุลจะร่วงออกจากปาก ก็เริ่มคึกคัก ไปด้วยการพูดจา ทักทายกัน เริ่มจำชื่อกันได้บ้างแล้ว
ไกด์ Sai han ก็ยังทำหน้าที่ได้ไม่ตกบกพร่อง แนะนำเส้นทาง บอกเล่าเรื่องราว ให้คณะได้ฟังไปเรื่อย ๆ 
น้องเคนผู้ประสานงาน ของ P.B Travel ก็น่ารัก กลายเป็นอาตี๋น้อยในเมียนมาร์ไปเรียบร้อย...
วันนี้เราจะใช้เวลาในการเดินทาง ประมาณ 2 ชั่วโมง กว่าจะถึงกรุงหงสาวดี หรือเมือง  พะโค ถ้าออกเสียงตามสำเนียงพม่า จะเรียกว่า หานตาวดี
ปัจจุบันเมืองหงสาวดี สร้างรายได้ให้กับประเทศได้มหาศาล เพราะเป็นเมืองท่องเที่ยว ที่มีผู้คนเดินทางมามากที่สุดในขณะนี้
นั่งรถชมสองข้างทาง ด้วยใจเพลิดเพลิน ตื่นบ้าง หลับบ้าง ก็ไม่ว่ากัน เพราะถึงอย่างไรวันนี้ จุดหมายก็รอพวกเราอยู่แล้วเบื้องหน้า อาจจะเพราะต่างบ้านต่างเมืองมา ถนนหนทางก็ไม่รู้จัก ก็ต้องอาศัยไกด์นำทาง และพลขับ ให้ทำหน้าที่อันสำคัญนี้ไป
พักตากันชั่วครู่ ถึงเมืองหงสาวดีกันอีกครา ก็ถึงมื้อกลางวันของพวกเราทันที ช่างน่าประทับใจ กับการกินที่ไม่ต้องห่วงว่าจะกินไม่ได้ เพราะอาหารที่จัดให้ล้วนแล้วแต่ ถูกปากคนไทย แทบทั้งสิ้น อาทิ กุ้งเผาตัวใหญ่ ๆ ปลาทอดราดพริกแห้งคั่วบด(แต่พริกยังเป็นเม็ดๆอยู่ค่ะ) คว้ากุ้งกันคนละตัว ซดน้ำแกงกันคนละถ้วย อาหารอีกหลายอย่าง ก็หมดภายในพริบตา สงสัยอาหารเช้าย่อยไปตอนรถกระแทก มาตลอดระยะทาง ก็เลยซึมเข้าผิวหนังรวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ 555 
.....................................
กุ้งตัวใหญ่ ๆ 

พริกโรยหน้าเต็มจานเลย




ไข่เจียวอร่อย นุ่มลิ้นมากๆ

เริ่มเปลี่ยนแปลงตนเอง...
อยากเป็นหนุ่ม สาว ชาวเมียนมาร์ ณ ร้านอาหารแห่งนี้ ยังมีผ้าถุง ผ้าโสร่ง รองเท้า อันเป็นสัญลักษณ์ของเมืองเมียนมาร์ ไว้จำหน่ายอีกด้วยค่ะ บางคนเริ่มลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตนเอง ขอเป็นหนุ่มสาว ชาวเมียนมาร์ กันสักวัน ก็เลือกกันไปสุดฤทธิ์ ได้คนละผืน รองเท้าคนละคู่ เพื่อไม่ให้เสียของ ก็สวมกันตรงนั้นซะเลย ใส่ผิด ใส่ถูก หลุดบ้าง ก็สนุกสนานกันเต็มที่ (ของใหม่มา ของเก่าก็เก็บ)  จ่ายกันไปคนละ 7 พันจ๊าต (1 พันจ๊าต ก็ประมาณ 43 บาทไทย)
รับประทานอาหารเสร็จ ก็ลากสังขาร จากการอิ่ม พุงยื่น กันไปขึ้นรถ กว่าจะขึ้นรถได้ ก็ต้องผ่านด่านตรวจจาก...พ่อค้า แม่ค้า ทั้งหลาย ทั้ง ขายสารพัด มาขอเงินบ้าง ยังนึกว่า โอ้ยตูจะไหวไหมเนี่ย งานนี้ ด่านเยอะเหลือเกิน (กลัวอดใจไม่ไหวจะซื้อ) สุดท้ายได้พัดมา 1 ด้าม (จ่ายเงินไทยไป 20 บาท เขารับเงินไทยกันแล้วค่ะ ) ขอบอกว่าเด็ก ๆ คนขายนี่ ตื้อขายของเก่งจริงๆ ลดแหลกแจกแถม กันสนั่น คนซื้อก็ต่อ คนขายก็อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ สุดท้าย ก็ได้ติดมือกันไปคนละอัน 
จบเรื่อง...คนขายของดีกว่า...ยังมีรายการซื้ออีกมากมายค่ะ 
นมัสการเจดีย์ชเวมอดอร์ หรือ เจดีย์มุเตา
เป็นเจดีย์ สีทอง เหลืองอร่าม ตั้งตระหง่านสู้สายตาของพวกเราอยู่เบื้องหน้า ไกด์หนุ่ม sai han บอกว่า คำว่า มุเตา แปลว่า จมูกร้อน เพราะเวลาที่เราแหงนมองดูพระธาตุนั้น จะต้องแหงนกันคอตั้งทีเดียว จมูกก็ต้องกระทบกับแสงตะวัน ก็เลยเป็นที่มาของคำว่าจมูกร้อน และเจดีย์แห่งนี้ ยังเป็นเจดีย์ที่สูงที่สุดในประเทศพม่า มีความสูง ถึง 114 เมตร สูงกว่าเจดีย์ชเวดากองอีกค่ะ
รถบัสจอดเทียบท่าชานชาลา...ก่อนอื่น ตามทำเนียมปฏิบัติ ทุกท่านจะต้องถอดรองเท้า เพื่อความเคารพสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ ก็ถอดวางกันไว้บนรถกันลืม กันหาย และสะดวกด้วยค่ะ
ไกด์ยังแนะนำอีกว่า...ถ้าใครจะถ่ายรูป จะต้องเสียค่าถ่ายรูปด้วย คนละ 300 จ๊าต (ก็เป็นค่าบำรุงสถานที่ไปนะคะ ไม่ได้มากมายอะไรค่ะ ได้ทำบุญกันอีกทาง)
แล้วก็เดินตามไกด์กันไป เพื่อแนะนำสถานที่ว่ามีอะไรบ้าง...ถึงตอนนี้ผู้เขียนจะชอบหายไปจากกลุ่มบ่อย ๆ เลยไม่รู้ว่าไกด์อธิบายอะไรบ้าง 555 ไม่ได้ไปไหนค่ะ แค่ไปทำหน้าที่ของการเดินทางมาครั้งนี้ให้เสร็จสิ้น...ก็เท่านั้นเอง
ประวัติก็รู้คร่าว ๆ  ฟังก็ไม่ได้ฟังจากไกด์บรรยาย ในสถานที่นั้น เลยพลาด สิ่งสำคัญไปหลายอย่าง อาทิ ยอดเจดีย์ที่หักพังลงมา ก็ไม่ได้สังเกต มัวแต่จด ๆ จ้อง ๆ ยอดเจดีย์อันสูงตระหง่าน แล้วก็ไม่ทราบถึงวิธีการจุดธูปไปค้ำพระธาตุ มาทราบทีหลัง ไม่ได้ทำสักอย่างเดียว (สงสัยต้องกลับไปอีกรอบแหงๆ งานนี้) ดูท่าทั้งทริปนี้จะพลาดไปหมดทุกเรื่อง เพราะแยกกลุ่มไปทำงหน้าที่ของพวกเรานี่แหละ เฮ้อ...เวรกรรม หุหุหุ...

เข้าสู่เวียงวัง สถานที่อันเคยพำนัก ของบรรดากิ๊กเก่าของท่านบุเรงนอง
พระราชวังของท่านบุเรงนอง ที่ปรากฏต่อสายตาของพวกเราเบื้องหน้านี้ หวนคิดถึง สถานที่อันเก่าแก่ และรุ่งเรือง งดงาม ในสมุยนั้น แทบจะไม่น่าเชื่อเลยว่า จะยิ่งใหญ่ อลังการจริง ๆ ปราสาทราชวัง ก็งดงาม ไปด้วยลวดลาย การสร้าง ประดับตกแต่ง เหมือนวิมาน ที่ทอดลงมาอยู่บนพื้นดิน ให้เราชาวมนุษย์ได้เข้าไปสัมผัส กับความโอ่โถง และหรูหรานั้น ถึงแม้ว่า พระราชวังแห่งนี้จะได้รับการบูรณะขึ้นมาใหม่ก็ตาม ก็ยังให้ความรู้สึกที่พิเศษอยู่ในจิตเบื้องลึกของทุกคนที่ได้มาเยือน
ตามสถานที่ ตามเมืองต่าง ๆ ก็เห็นความมลังเมลือง(แปลว่า สุกใส อร่ามเรือง) ของสีทองอยู่ทุกหนแห่ง  ในประเทศเมียนมาร์แห่งนี้ ก็ลืมถามไกด์ไปนะคะว่า ทำไมต้องเป็นสีทองไปทุกทุกแห่ง ของเจดีย์เล็ก เจดีย์น้อย และเจดีย์ใหญ่ ๆ
ก็คิดได้ว่า คง เป็นแสงทองของความยิ่งใหญ่ ด้วยแรงศรัทธาของพุทธศาสนิกชนชาวเมียนมาร์ ที่นับถือพุทธศาสนา มากกว่า 89 %  ที่สื่อสารออกมาด้วยสีทองอันงดงามเช่นนี้กระมัง...

(ถ่ายภาพหมู่)
ภาพนี้อภินันทนาการจากพี่เล็กคนสวยค่ะ

กังนัมสไตล์ บุก พระราชวังบุเรงนอง

(ไม่ได้ล้อเลียน ณ สถานที่อันสำคัญนะคะ เป็นความสุขใจของนักเดินทาง ที่ครั้งหนึ่งได้เดินทางมาถึงสถานที่อันสำคัญแห่งนี้ และก็กลัวตกกระแส กังนัมสไตล์ฟีเวอร์ ก็จัดกันไปค่ะ)

ไปขึ้นเขาสูง นมัสการพระธาตุอินทร์แขวน                                                   บนยอดเขา Paung Laung

หลังออกจากเมืองหงสาวดี ก็มุ่งหน้าสู่ เมืองไจ๊กทีโย ก็ใช้เวลานั่งรถอีกหลายชั่วโมงเหมือนกัน...พลขับของพวกเราก็ทำหน้าที่ได้ดีเยี่ยม ปาดหน้า ปาดหลัง ไปตลอดทาง เล่นเอาเสียวกันไปเป็นแถบ ๆ แต่ด้วยความชำนาญในการขับรถ ถึงแม้จะวิ่งสวนกันมาแบบจะชนกัน ก็หวุดหวิดไปได้ทุกขณะจิต เฮ้อ...สร้างความระทึกใจให้ผู้ร่วมเดินทางได้เป็นอย่างดี...เรียกว่า ปลุกให้ตื่น โดยไม่ต้องให้ไกด์ปลุกพวกเราก็ว่าได้นะคะ
พอมาถึงคิมปูนแคมป์ เราก็แวะสักการะพระพุทธรูป ในโบสถ์กันก่อน เพื่อความเป็นสิริมงคลก่อนเดินทางขึ้นเขา แล้วก็ทำธุระส่วนตัวให้เรียบร้อย เพราะแต่ละคนยังไม่รู้ว่าหนทางเบื้อหงน้าจะเป็นเช่นไร
ไหว้พระ ขอพรอะไรพี่เอม...

ฝนเริ่มตกโปรยปรายลงมา พวกเราก็เตรียมของสัมภาระ ที่เตรียมแยกกระเป๋าเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อคืนที่พักที่เมืองตองอู ...ฝนตกลงมาไม่ขาดสาย บางท่านไม่ได้เตรียมเสื้อกันฝนมา ถุงใส่ของก็ไม่มี เพื่อใช้กันน้ำฝน...
งานนี้ไม่ต้องห่วงค่ะ...พ่อค้า แม่ค้า มารอต้อนรับพวกเราถึงที่แล้ว ส่งเสียงทักทายกันระงม 500 จ๊าต 1 พัน จ๊าต ทั้งเสื้อคลุมฝน ถุงใส่ของกันเปียก ก็จัดไปตามคำเรียกร้อง คนละอัน สองอัน ...ดูวุ่นวายกันน่าดู...
รถที่มารอรับพวกเรา ก็เป็นรถสิบล้อขนหิน ขนทราย แบบที่บ้านเรา เพราะมีกำลังแรงเหลือ ที่จะบุกป่า ฝ่าดง ขึ้นเขา ไปอย่างไม่สะทกสะท้าน
แต่ละคนก็...แต่งตัวคนละหลากสีสัน เพราะเสื้อกันฝนคนละสี ...ก็ขึ้นนั่งประจำที่ ด้านหลังรถ...ที่มีแค่ไม้ให้เราได้นั่งเท่านั้น ที่ให้มือจับก็ไม่มี ฝนก็ตก รีบไปก็จะรีบไป ยังไม่ทันคิดหน้า คิดหลังให้ดีซะก่อนว่าจะนั่งท่าไหนดี รถก็สตาร์ท ห้อตะบึงออกไปเสียแล้ว พอรถออก ลมก็ปะทะหน้า เสื้อคลุมฝน อันบางเบาก็เริ่มเลื่อนหลุดออกมากองกันที่คอ กันฝนได้แต่กันลมไม่ได้แล้ววุ้ย...งานนี้พวกเราเอ๋ย...
ไอ้รถเจ้ากรรม ก็ห้อตะบึง แบบไม่เกรงใจตูดดดดด...ของใคร จะก้นเล็ก ก้นใหญ่ ก็นั่งบนไม้กระดานแผ่นเดียวนี้ให้รอด ก็ระบมก้นกันไปสักพักแล้วกัน รถก็ปีนป่ายไปบนเนินเขา เลี้ยวขึ้น ไปเรื่อย ๆ ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะถึงสักที...พอจะผ่อนคลายได้บ้าง กับบรรยากาศรอบตัว มีป่าไม้ ภูเขา น้ำตกไหลมาใส ๆ ให้เกิดอาการอู้หู้ อ้าหา...เกิดขึ้นได้สักพัก...ฝนก็ตกโปรยปราย ให้รำคาญใจเล่น นั่งท่านั้น ท่านี้ ก็แล้ว หันข้าง หันหลัง ก็แล้ว เพื่อกันลม ไม่ให้มาปะทะ จนผ้าคลุมฝนเลื่อนออกไป แล้วจะเปียกไปมากกว่านี้...หลาย ๆ ท่านก็คงเอาไม่อยู่แล้ว ก็ปล่อยเลยตามเลย รักษากล้อง รักษาของ ไม่ให้เปียกเป็นพอค่ะงานนี้....รถเลี้ยวขวา เลี้ยวซ้าย ขึ้นเขามาพักใหญ่ จุดหมายอีกจุดหนึ่งรอพวกเราอยู่แล้วค่ะ...แต่ยังไม่สิ้นสุดการเดินทางนะคะ...
สภาพที่นั่งรถมาถึงเป็นแบบนี้ 555

ถึงเชิงเขา...จุดเปลี่ยนขึ้นเสลี่ยง
พอรถจอดสนิท..( ตายแล้ว นึกในใจ สถานที่นี้ ทำไมคนมันมากมายเหลือเกิน (ตามประสาคนไม่เคยมา) เขามาแข่งบอลกันเหรอ ใส่ชุดสีเดียวกันเลย หรือที่นี่เป็นสนามฟุตบอล อุ้ย! แม่เจ้า มาทราบทีหลังว่า คนเหล่านี้เป็นคนที่จะมาคอยบริการพวกเรา ในการแบกเสลี่ยงนั่นเอง (อันนี้ขำจริง ๆ ตูนี่เซ่อขนาดนี้เลยเหรอ 555) ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย...โง่ไปหนึ่งดอก...
ลงมาจากรถ ทางบันไดเลื่อน( ด้วยขาตัวเอง) ก็เกิดความวุ่นวาย โกลาหลกันอีกครั้ง ใครจะนั่งเสลี่ยง มาทางนี้ ใครจะเดิน...ไปทางโน่น กระเป๋าจะจ้างใครแบก ดูวุ่นวายไปหมด ตัวเองก็ยังงง ๆ สรุปจะเดินดี หรือขึ้นเสลี่ยงดี เอาไงดี ต้องรีบตัดสินใจก่อนเขาจะไปกันหมดแล้ว สรุปเดิน ...ได้ไม่ได้อีกที...
ค่าเสลี่ยง ไกด์บอกไว้แล้วว่า...ไกด์จะจัดการก่อน แล้วให้มาจ่ายคืนที่ไกด์ หลังจากลงมาจากยอดเขาพรุ่งนี้เช้า  ส่วนทริป ก็ให้ไปแต่ละคน แต่ให้ทีเดียวในช่วงขาลงมาเช่นกันค่ะ ค่าเสลี่ยง ต่อคน 800 บาท ไทย และค่า ทริป อีกคนละ 2 พันจ๊าต (ก็น่าจะให้อยู่หรอกนะคะ เห็นแล้วทรมานในการแบก การเดินขึ้นจริง ๆ ถ้าไม่ได้มาสัมผัสด้วยตนเองรับรองว่า ไม่รู้แน่นอนค่ะ (แต่ไม่ชอบตรงมาขอเงินกันแบบดื้อ ๆ นี่แหละค่ะ แล้วคนไทยก็ชอบสงสารด้วย ก็เลยทำให้กลายเป็นสร้างนิสัยไม่ดีให้กับพวกเขาไปโดยปริยาย...คิดแล้วก็กลุ้มแทน แต่ทำไงได้ ก็เราคนไทยใจดี ดีดี๊ค่ะ...


นั่งเสลี่ยง ....เดิน...(ฝนยังตกตลอดทาง)
บรรยากาศก็เริ่มมืดแล้วด้วย
คนนั่งเสลี่ยงก็เป็นแคร่ไม้ไผ่ เป็นเก้าอี้ผ้าใบ นอนยาว ๆ ราบ ๆ มี 4 คนหาม (แต่ไม่ได้ 3 คนแห่นะคะ 555) คนเดินก็เริ่มต้นค่อย ๆ ทะยอยเดินขึ้นกันไปค่ะ คนที่นั่งเสลี่ยง ก็แซงหน้าไปเรื่อย ๆ คนเดินก็เตาะแตะ ๆ ไต่ความสูงชันขึ้นไปกันคนละเล็กละน้อย (อ้อลืมบอกไปค่ะ แต่ละคนที่เดิน จะมีบอดี้การ์ดตัวเล็ก ตัวใหญ่ เดินไปด้วย คอยคุ้มกันดูแล ไม่ให้หกล้ม ฟังชื่อแต่ละคนก็เออนะ...ช่างสรรหามาตั้ง อาทิ โบโบ้ โซโซ่ โกโก้ โรนัลโด้ แหม...ชื่อแต่ละคน ได้ใจจ๊าดนัก
ที่สำคัญมีคนแบกแคร่ตามด้วย เผื่อใครบางคนจะเปลี่ยนใจมานั่งเสลี่ยง หากเดินไม่ไหวจริง ๆ มันถามตลอดทาง นั่งเสลี่ยงไหม จะนั่งไหม ขำก็ขำพวกเขานะคะ ที่เดินตามอยู่ได้ แต่เขาก็คงกลัวเราจะไม่ไหวจริง ๆ นั่นแหละค่ะ เราก็กัดฟัน ไหวๆๆๆ ทั้งที่ในใจ นั่งดี หรือเดินดี...เมื่อยก็หยุดพัก สูดลมหายใจเข้าปอด แล้วก็เดินต่อ เพราะมีหลาย ๆ คน มาร่วมเดินด้วยกัน เจอกัน ตามจุดพักเป็นช่วง ๆ (จุดพักที่ว่า ก็เมื่อยตรงไหนก็เป็นจุดพักตรงนั้นแหละค่ะ 555 )
 ก็เริ่มมองหน้ากันแล้ว จำหน้ากันไว้ มีใครเดินที่เจอกันบ้าง รั้งท้ายกันอยู่ในขณะนี้ ที่เดินไปด้วยกัน ก็มี นก (ตัวเอง) พี่น้ำฝน พี่แจน พี่เอม พี่วู น้องเคน ไกด์ sai han ที่ขาดเสียไม่ได้ คือ ช่างภาพ วิดีโอ หนุ่มที่สุดในทีม ป๋าอ๊อดของพวกเราค่ะ นอกจากนั้นจำไม่ได้แล้วค่ะ...เพราะในใจมันล้าพิกล ๆ แต่ก็กัดใจสู้ อย่าไปคิดว่ามันจะถึงเมื่อไหร่ แต่ให้เดินไปเรื่อย ๆ อย่าเอาจิตไปจดจ่อกับมัน แล้วมันจะได้ไม่ท้อค่ะ....ไต่เขาไปเรื่อย ๆ ตามหนทางจะเรียกว่าดี ก็คงไม่ใช่ เหมือนเขาเอาปูนมาเท ๆ ไว้ กันไม่ให้ลื่นเท่านั้นเอง ...เพราะถนนหนทางเป็นทางชันขึ้นเขาไปเรื่อย ๆ ลดเลี้ยว ซ้าย ขวา ....ตอนนี้ไม่ยอมแลหลังแล้วค่ะ เดินหน้ากันอย่างเดียว ...ใครจะหยุด จะพัก ก็ไม่ได้มองอีกเลย ก้าวขึ้นอย่างเดียว ลุย






และแล้วการเดินทางก็ต้องมีวันสิ้นสุด
หลังจากเดินขึ้นมาได้สักพัก ผ่านบ้านพักของผู้ที่อาศัยแถบนี้มาเรื่อยๆ ก็มีทางที่สามารถตัดผ่าน ขึ้นไปสู่ที่พักได้ ก็เดินก้าวไปอีกพักใหญ่ ๆ ก็มาถึงสถานที่เราจะพักแล้วล่ะคะ ทางเดินเป็นทางเรียบ ๆ ทางตรง มองไปเบื้องหน้า มองเห็นแสงสีทอง เหลืออร่าม ของพระธาตุอินทร์แขวน ก็ทำให้หยุดยืน มองสักครู่ พิจารณา ก่อนจะเข้าไปรับกระเป๋า จ่ายค่าขน กระเป๋า 1 ใบ คนละ 2 พันจ๊าต ค่ะ
แต่สำหรับคนนั่งเสลี่ยง ไม่ต้องห่วงค่ะ มาถึงก่อนพวกเรานานแล้ว นั่งเสลี่ยงใช่ว่าสบาย ก็เมื่อยเหมือนกันค่ะ 555 ปุเลง ๆ มาตลอดทาง แต่ก็คงไม่เท่าพวกเดินนะคะ คงจะปวดขากันไม่น้อย อาจจะคืนนี้ หรือพรุ่งนี้ อาการปวดขาจะถามหาทุก ๆ คนค่ะ...
หลังจากรับกระเป๋าแล้ว จ่ายเงินเรียบร้อย นัดหมายให้มารับในวันพรุ่งนี้ในช่วงเช้าแล้ว แต่ละคนก็แยกย้ายไปเปลี่ยนอิริยาบถ เปลี่ยนเสื้อผ้า ที่เปียกชื้น ในห้องพัก ก่อนจะลงมารับประทานอาหารเย็น มื้อนื้ ทานได้มากเป็นพิเศษ คงเป็นเพราะ เมื่อย เพลีย ใช้กำลังไปเยอะนั่นเอง หรือไม่แน่ ก็อาจจะเป็นรสชาติอาหารที่ถูกปากคนไทย อีกอย่าง นั่นก็คือ พริกน้ำปลา รสชาติของไทยแน่นอน ...คลุกกับข้าวสวยร้อน ๆ ยังอร่อยเล้ยย....เห็นทุกถ้วยเกลี้ยง (อันนี้ต้องขอขอบคุณอภินันทนาการจากทีมงานค่ะ ที่ทำให้อาหารมื้อนี้ มีรสชาติดี ๆ ไปอีกค่ะ)

สักการะองค์พระธาตุอินทร์แขวน....
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ ทุกคนก็มารวมตัวกัน เพื่อเดินขึ้นไปสักการะ และชมความงดงามของพระธาตุอินทร์แขวน ถึงแม้วันนี้ฝนฟ้า จะไม่เป็นใจ ทำให้ท้องฟ้าไม่เปิด ความมืดเข้าครอบคลุม มีเพียงแสงไฟฟ้า ส่องสว่างให้พวกเราได้เห็นความงดงามของพระธาตุอินทร์แขวนอันศักดิ์สิทธิ์ เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว สำหรับทุกคน ที่ได้มีโอกาสมายืน ณ จุดความศักดิ์สิทธิ์ แห่งนี้ด้วยตนเอง


ในค่ำคืนของความสุขนี้ ใจของทุกคนเบิกบาน สายฝนก็ไม่เป็นอุปสรรค เพราะสัญญา ได้เกิดขึ้นแล้ว ณ วันนี้ ว่าต้องมีอีกครั้ง ที่เรา จะต้องกลับมายังดินแดน และสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ...
พรุ่งนี้เช้า นัดกันอีกครั้ง หากใครจะมาชมความงามของพระธาตุในช่วงเช้า มานั่งสมาธิ ตั้งจิตตภาวนา ก็ตั้งนาฬิกากันเอาไว้ค่ะ...เวลา 05.00 น.พบกัน
ขอให้นอนหลับฝันดี...ในห้องนอนน้อย ๆ ผ้าห่มผืนบาง ๆ กับชุดเสื้อผ้าเปียก ๆ ที่ยังพาดไว้ที่โต๊ะบ้าง ห้องน้ำบ้าง กับสิ่งอำนวยความสะดวกไม่กี่อย่าง หากใครคิดว่าจะดูรายการทีวีดี ๆ สักเรื่อง แล้วก็หลับไป ขอบอกว่าไม่มีทีวีให้ดูค่ะ หรือจะออกไปดูดาว ก็คงไม่มีอีกเช่นกัน 555 เพราะท้องฟ้าปิด ฝนตกค่ะ
(ก็ตัดความสะดวก สบายออกไปบ้าง แล้วกลับมาคิดใหม่ว่า เรามาผจญภัยกับสิ่งใหม่ ๆ ได้จดจำ และเก็บไปบอกต่อ ถึงความทรงจำครั้งนี้ ณ พระธาตุอินทร์แขวน ที่เราได้พบเจอกันค่ะ)
ค่ำคืน แห่งความศักดิ์สิทธิ์นี้...ขอให้ทุกคน นอนหลับฝันดี มีความสุข แล้วพบกันวันพรุ่งนี้ กับการเดินทาง ในวันที่ 3 (7 กันยายน 2555) เราจะลงเขา เข้าสู่เมืองหงสาวดีกันอีกครั้ง ...

วันนี้ต้องขอขอบคุณ ผู้ร่วมเดินทางทุก ๆ ท่าน ขอบคุณน้ำจิต น้ำใจ ที่พบได้ตลอดการเดินทาง ขอบคุณอาหารดี ๆ ขอบคุณที่พักดี ๆ ที่ทำให้เราได้เอนกายลงพักผ่อน ขอบคุณตัวเราเอง ขอบคุณผืนดิน ขอบคุณทุก ๆ อย่าง ที่นำพาเรามายังดินแดนแห่งความงดงาม และ จุดประกายการเดินทางให้พวกเราทุกคน

ขอบคุณ สายการบิน บางกอก แอร์ เวย์ ขอบคุณ Myanmar-center.com ที่นำเรามายังเส้นทางแสวงบุญ และขอบคุณ P.B.Travel ที่ได้มอบโอกาสดี ๆ ให้พวกเราทุกคน ขอขอบคุณจากใจพวกเราค่ะ

(ติดตามตอนที่ 3 กันต่อไปนะคะ)
อย่าเพิ่งเบื่อกันเสียก่อน วันนี้สวัสดีค่ะ

Rujira Nok (ผู้ดำเนินเรื่องราว)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น